พระมหาอุปราชา
๑) เป็นลูกกตัญญู พระมหาอุปราชาทรงเกรงสมเด็จพระนเรศวรในเรื่องฝีมือและความอาจหาญ แต่จำเป็นต้องยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา เพราะขัดพระบรมราชโองการไม่ได้ ในระหว่างเดินทัพมาได้เกิดลางร้ายต่างๆ พระมหาอุปราชาเกิดความโศกเศร้าเสียพระทัพเพราะไม่มั่นพระทัพว่าจะได้รับชัยชนะ ทำให้ทรงห่วงใยพระราชบิดายิ่งนัก ข้อความที่แสดงให้เห็นความกตัญญูของพระมหาอุปราชา คือ ตอนที่คร่ำครวญถึงพระราชบิดาว่าจะว้าเหว่และขาดคู่คิดในการทำสงคราม และพระองค์เองก็ไม่สามารถทดแทนบุญคุณของพระบิดาได้
พระเนานัคเรศอ้า เอองค์
ฤาบ่มีใครคง คู่ร้อน
จักริจักเริ่มรงค์ ฤาลุ แล้วแฮ
พระจักขุ่นจักข้อน จักแค้นคับทรวง
พระคุณตวงเพียบพื้น ภูวดล
เต็มตรลอดแหล่งบน บ่อนใต้
พระเกิดพระก่อนชนม์ ชุบชีพ มานา
เกรงบ่ทันลูกได้ กลับเต้าตอบสนอง
๒) มีพระทัยอ่อนไหว พระมหาอุปราชาทรงพระทมทุกข์มาก ไม่ต้องการออกรบ เพราะเสียขวัญกำลังใจจากการที่โหรทำนายว่าจะถึงฆาต สูญเสียความภูมิใจในฐานะพระโอรสแห่งกษัตริย์หงสาวดี เพราะถูกเยาะเย้ยให้อับอายในที่ประชุมขุนนาง พระองค์ทรงมีแต่ความเศร้าโศกเสียพระทัยที่ต้องจากบ้านเมือง จากความสุขสบายที่เคยได้รับ เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในวังพรั่งพร้อมด้วยพระสนม เพราะเป็นคนที่อ่อนไหวในอารมณ์ ทำให้ระทมทุกข์ ขณะเดินทางก็คิดถึงนางอันเป็นที่รักด้วยความอาลัยอาวรณ์ตลอดเวลา พบเห็นสิ่งใดก็อดไม่ได้ที่จะนำมาเปรียบเทียบกับความรัก ความคิดถึงที่พระองค์มีให้แก่พระสนม
มาเดียวเปลี่ยวอกอ้า อายสู
สถิตอยู่เอ้องค์ดู ละห้อย
พิศโพ้นพฤกษ์พบู บานเบิก ใจนา
พลางคะนึงนุชน้อย แน่งเนื้อนวลสงวน
๓) มีขัตติยมานะ คือ การถือตัวว่าเป็นกษัตริย์ ถึงแม้พระมหาอุปราชาจะมีความประหวั่นพรั่นพรึงว่าจะต้องสูญเสียชีวิตในการทำศึกสงคราม และมีความโศกเศร้าสักเพียงใด แต่ด้วยขัตติยมานะ พระองค์ก็เดินทัพไปด้วยความหยิ่งทะนงในพระองค์เอง ขัตติยมานะของพระองค์ทำให้เมื่อพระองค์ทราบแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นจอมทัพฝ่ายไทย ก็วางแผนทำศึกทันทีทั้งๆที่ยังมีความหวาดหวั่นในพระทัยอยู่
ครั้นพระบาทได้สดับ ธก็ทราบสรรพโดยควร ว่านเรศวรกษัตรา กับเอกาทศรุถ ยกมายุทธ์แย้งรงค์ แล้วพระองค์ตรัสถาม สามสมิงนายกองม้า ถ้าจักประมาณพลไกร สักเท่าใดดูตระหนัก ตรัสซ้ำซักเขาสนอง ว่าพลผองทั้งเสร็จ ประมาณสิบเจ็ดสิบแปดหมื่น ดูดาษดื่นท่งกว้าง ครั้นเจ้าช้างทรงสดับ ธก็ตรัสแก่ขุนทัพขุนกอง ว่าซึ่งสองกษัตริย์กล้า ออกมาถ้ารอรับ เป็นพยุหทัพใหญ่ยง คงเขาน้อยกว่าเรา มากกว่าเขาหลายส่วน จำเราด่วนจู่โจม โหมหักเอาแต่แรก ตีให้แตกย่นย่อย ค่อยเบาแรงเบามือ เร็วเร่งฮือเข้าห้อม ล้อมกรุงเทพทวารัติ ชิงเอาฉัตรตัดเข็ญ เห็นได้เวียงโดยสะดวก แล้วธส่งพวกขุนพล เทียบพหลทุกทัพ สรรพแต่สามยามเสร็จ ตีสิบเอ็ดนาฬิกา จักยาตราทัพขันธ์ กันเอารุ่งไว้หน้า เร็วเร่งจัดอย่าช้า พรุ่งเช้าเราตี เทอญนา
๒) มีพระทัยอ่อนไหว พระมหาอุปราชาทรงพระทมทุกข์มาก ไม่ต้องการออกรบ เพราะเสียขวัญกำลังใจจากการที่โหรทำนายว่าจะถึงฆาต สูญเสียความภูมิใจในฐานะพระโอรสแห่งกษัตริย์หงสาวดี เพราะถูกเยาะเย้ยให้อับอายในที่ประชุมขุนนาง พระองค์ทรงมีแต่ความเศร้าโศกเสียพระทัยที่ต้องจากบ้านเมือง จากความสุขสบายที่เคยได้รับ เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในวังพรั่งพร้อมด้วยพระสนม เพราะเป็นคนที่อ่อนไหวในอารมณ์ ทำให้ระทมทุกข์ ขณะเดินทางก็คิดถึงนางอันเป็นที่รักด้วยความอาลัยอาวรณ์ตลอดเวลา พบเห็นสิ่งใดก็อดไม่ได้ที่จะนำมาเปรียบเทียบกับความรัก ความคิดถึงที่พระองค์มีให้แก่พระสนม
มาเดียวเปลี่ยวอกอ้า อายสู
สถิตอยู่เอ้องค์ดู ละห้อย
พิศโพ้นพฤกษ์พบู บานเบิก ใจนา
พลางคะนึงนุชน้อย แน่งเนื้อนวลสงวน
๓) มีขัตติยมานะ คือ การถือตัวว่าเป็นกษัตริย์ ถึงแม้พระมหาอุปราชาจะมีความประหวั่นพรั่นพรึงว่าจะต้องสูญเสียชีวิตในการทำศึกสงคราม และมีความโศกเศร้าสักเพียงใด แต่ด้วยขัตติยมานะ พระองค์ก็เดินทัพไปด้วยความหยิ่งทะนงในพระองค์เอง ขัตติยมานะของพระองค์ทำให้เมื่อพระองค์ทราบแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นจอมทัพฝ่ายไทย ก็วางแผนทำศึกทันทีทั้งๆที่ยังมีความหวาดหวั่นในพระทัยอยู่
ครั้นพระบาทได้สดับ ธก็ทราบสรรพโดยควร ว่านเรศวรกษัตรา กับเอกาทศรุถ ยกมายุทธ์แย้งรงค์ แล้วพระองค์ตรัสถาม สามสมิงนายกองม้า ถ้าจักประมาณพลไกร สักเท่าใดดูตระหนัก ตรัสซ้ำซักเขาสนอง ว่าพลผองทั้งเสร็จ ประมาณสิบเจ็ดสิบแปดหมื่น ดูดาษดื่นท่งกว้าง ครั้นเจ้าช้างทรงสดับ ธก็ตรัสแก่ขุนทัพขุนกอง ว่าซึ่งสองกษัตริย์กล้า ออกมาถ้ารอรับ เป็นพยุหทัพใหญ่ยง คงเขาน้อยกว่าเรา มากกว่าเขาหลายส่วน จำเราด่วนจู่โจม โหมหักเอาแต่แรก ตีให้แตกย่นย่อย ค่อยเบาแรงเบามือ เร็วเร่งฮือเข้าห้อม ล้อมกรุงเทพทวารัติ ชิงเอาฉัตรตัดเข็ญ เห็นได้เวียงโดยสะดวก แล้วธส่งพวกขุนพล เทียบพหลทุกทัพ สรรพแต่สามยามเสร็จ ตีสิบเอ็ดนาฬิกา จักยาตราทัพขันธ์ กันเอารุ่งไว้หน้า เร็วเร่งจัดอย่าช้า พรุ่งเช้าเราตี เทอญนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น